Fruity Cherry Heart ^.^: 2014
Welcome to Blogger ธนา ติ้งโหยบ จ้า^^

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

IPV6


IPV6


          เมื่อเราเปดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต จะเห็นตัวเลขแปลกๆ เช่น 127.0.0.1 หรือ 192.168.1.1 หรือจำนวนอื่นๆ ตัวเลขเหล่านี้คือหมายเลข IP ประจำเครื่องครับ โดย IP ก็ย่อมาจากคำว่า Internet Protocol หน้าที่ของเจ้าเลขพวกนี้ก็คือ เป็นหลายเลขที่ใช้ในระบบเครือข่าย เป็นหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ในกรณีที่เราเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น โทรศัพท์มือถือทุกเครื่องก็จะมีเลขหมายหรือเบอร์โทรศัพท์เพื่อบอกว่าถ้าจะติดต่อเครื่องนี้ให้โทรมาที่เบอร์นี้นะ เช่นเดียวกับ คอมพิวเตอร์ก็มีเลขหมายหรือชื่อมันเอง เพือให้เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ บนระบบเครือข่ายรู้จักกันจากหมายเลข IP ที่ยกตัวอย่างไปด้านบน เราเรียกว่า IPv4โดยจะเป็นหมายเลขที่มีทั้งหมด 32 บิต(แต่ละช่วงเว้นวรรคด้วย . ) แบ่งเป็นช่วงละ 8 บิต โดยตัวเลข 8 นี้ก็จะมีค่าตั้งแต่ 0 255  ดังนั้น IPv4 จึงมีหมายเลขได้ตั่งแต่ 0.0.0.0 ถึง 255.255.255.255 แต่ทุกตัวจะใช้ไม่ได้หมด เพราะจะมีบางหมายเลขที่ถูกเก็บไว้ใช้งานเฉพาะ
       IPv6 (Internet Protocol version 6) เป็นเวอร์ชันล่าสุดของ Internet Protocol และได้รวมผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุน IP มาเป็นส่วนหนึ่งด้วย รวมถึงระบบปฏิบัติการหลัก IPv6 ได้รับการเรียกว่า "IPng" (IP Next Generation) โดยปกติ IPv6 เป็นกลุ่มของข้อกำหนดจาก Internet Engineering Task Force (IETF) โดย IPv6 ได้รับการออกแบบให้ปฏิรูปกลุ่มของการปรับปรุง IP เวอร์ชัน 4 โดย host ของเครือข่ายและ node แบบ intermediate ซึ่ง IPv4 หรือ IPv6 สามารถดูแลแพ็คเกตของ IP เวอร์ชันอื่น ผู้ใช้และผู้ให้บริการสามารถปรับรุ่นเป็น IPv6 โดยอิสระ
การปรับปรุงที่ชัดเจนของ IPv6 คือความยาวของ IP address เปลี่ยนจาก 32 เป็น 128 การขยายดังกล่าวเพื่อรองรับการขยายของอินเตอร์เน็ต และเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดแคลนของตำแหน่งเครือข่าย
IP v6 ได้กำหนดกฎในการระบุตำแหน่งเป็น 3 ประเภทคือ unicast (host เดี่ยวไปยัง host เดี่ยวอื่น ๆ) anycast (host เดี่ยวไปยัง host หลายตัวที่ใกล้ที่สุด) multicast (host เดี่ยวไปยัง host หลายตัว) ส่วนเพิ่มที่พิเศษของ IPv6 คือ
             - ตัวเลือกในการระบุส่วนขยายของส่วนหัว ได้รับการตรวจสอบเฉพาะจุดหมาย ดังนั้นความเร็วของระบบเครือข่ายสูงขึ้น
             - ตำแหน่ง anycast ทำให้มีความเป็นไปได้ของการส่งข้อความไปยังหลาย ๆ gateway ที่ใกล้ที่สุดด้วยแนวคิดว่าให้บุคคลใด ๆ บริหารการส่งแพ็คเกตไปยังบุคคลอื่น anycast สามารถใช้ในการปรับปรุงตาราง routing ตลอดเส้นทาง
             - แพ็คเกตได้รับการระบุให้มีการไหลชนิดพิเศษได้ ทำให้แพ็คเกตที่เป็นส่วนของมัลติมีเดียที่ต้องการ นำเสนอแบบ real time สามารถมีคุณภาพการให้บริการที่สูง
             - ส่วนหัวของ IPv6 รวมถึงส่วนขยายยินยอมให้แพ็คเกตระบุกลไกแหล่งต้นทาง สำหรับการรวมข้อมูล และรักษาความลับ


การนำ IPV6 มาใช้


การนำ IPv6 มาใช้ ควรจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการปรับเปลี่ยนอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลจะส่งผลกระทบต่อเครือข่ายทั่วโลกที่เชื่อมต่อกันอยู่ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนไปสู่เครือข่ายIPv6 ล้วน อาจใช้ระยะเวลาเป็นปี เพราะเหตุนี้ ทาง IETF จึงเสนอทางออก เพื่อช่วยในการทำงานร่วมกันระหว่าง IPv4 และ IPv6 ในระหว่างที่เครือข่ายบางแห่งเริ่มมีการปรับเปลี่ยน
ในช่วงแรก การใช้งาน IPv6 อาจอยู่ในวงแคบ ดังนั้นเราต้องการเทคนิคเพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายที่เป็น IPv6 เข้ากับเครือข่าย IPv4 หรือเครือข่าย IPv6 อื่น เทคนิคการทำงานร่วมกันระหว่าง IPv4 และIPv6 แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันคือ
         1. การทำ dual stack—เป็นวิธีพื้นฐานที่สุด ทำงานโดยใช้ IP stack สองอันคือ IPv4 stack และ IPv6 stack ทำงานควบคู่กัน เมื่อใดที่แอพพลิเคชั่นที่ใช้เป็น IPv4 ข้อมูลแพ็กเก็ตก็จะถูกส่งออกผ่านทางIPv4 stack เมื่อใดที่แอพพลิเคชั่นที่ใช้เป็น IPv6 ข้อมูลแพ็กเก็ตก็จะถูกส่งออกผ่านทาง IPv6 stack การทำ dual stack เป็นทางออกที่ง่ายที่สุดแต่ไม่ใช่ long term solution เนื่องจากยังจำเป็นต้องใช้ IPv4 address ที่โฮสต์หรือเร้าท์เตอร์ที่ใช้ dual stack นั้น
       2. การทำ tunneling—เป็นอีกวิธีที่ใช้กันแพร่หลายเพราะเหมาะสมกับการสื่อสารระหว่างเครือข่ายIPv6 ผ่านเครือข่าย IPv4 การส่งข้อมูลทำได้โดยการ encapsulate IPv6 packet ภายใน IPv4 packet ที่tunneling gateway ก่อนออกไปยังเครือข่าย IPv4 ที่ปลายทาง ก่อนเข้าไปสู่เครือข่าย IPv6 ก็จะต้องผ่านtunneling gateway อีกตัวซึ่งทำหน้าที่ decapsulate IPv6 packet และส่งต่อไปยังจุดหมายปลายทาง จะเห็นได้ว่าการทำ tunneling นี้จะใช้ไม่ได้สำหรับการสื่อสารโดยตรงระหว่างเครื่องในเครือข่าย IPv6และเครื่องในเครือข่าย IPv4
       3. การทำ translation—การทำ translation จะช่วยในการสื่อสารระหว่างเครือข่าย IPv6 และ IPv4เทคนิคการทำ translationมีสองแบบ แบบแรกคือการแปลที่ end host โดยเพิ่ม translator functionเข้าไปใน protocol stack โดยอาจอยู่ที่ network layer,TCP layer, หรือ socket layer ก็ได้ แบบที่สองคือการแปลที่ network device โดยจะต้องใช้ gateway ทำหน้าที่เป็น IPv6-IPv4และ IPv4-IPv6 translatorอยู่ที่ทางออกที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย IPv6 และ IPv4
       ทั้งนี้หลังจากการปรับเปลี่ยนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อเครือข่ายต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เป็นIPv6 ทั้งหมด เราสามารถทำการสื่อสารโดยใช้โพรโตคอล IPv6 โดยตรง ซึ่งเราเรียกการสื่อสารลักษณะนี้ว่า native IPv6 network



หมายเลข IPv6 address มีความยาวแตกต่างกัน


หมายเลข IPv6 มี 128 บิต ประกอบไปด้วย กลุ่มตัวเลข 8 กลุ่มเขียนขั้นด้วยเครื่องหมาย “:”โดยแต่ละกลุ่มคือเลขฐาน 16 จำนวน 4 ตัว (16 บิต) เช่น
3fee:085b:1f1f:0000:0000:0000:00a9:12340000:0000:0000:0000:0000:0000:0000:0001fec0:0000:0000:0000:0200:3cff:fec6:172e2001:0000:0000:34fe:0000:0000:00ff:0321ทั้งนี้สามารถเขียนย่อได้ โดยมีเงื่อนไขคือ1. หากมีเลขศูนย์ด้านหน้าของกลุ่มใด สามารถจะละไว้ได้2. หากกลุ่มใดเป็นเลขศูนย์ทั้ง 4 ตัว (0000) สามารถเขียนแทนด้วย “03. หากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (หรือหลายกลุ่มที่ตำแหน่งติดกัน) เป็นเลขศูนย์ทั้งหมด สามารถจะละไว้ได้ โดยใช้เครื่องหมาย “::” แต่จะสามารถทำลักษณะนี้ได้ในตำแหน่งเดียวเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหากใช้สองเงื่อนไขแรก เราสามารถเขียนหมายเลข IPv6 ข้างต้นได้ดังนี้3fee:085b:1f1f:0:0:0:a9:12340:0:0:0:0:0:0:1fec0:0:0:0:200:3cff:fec6:172e2001:0:0:34fe:0:0:ff:321หากใช้เงื่อนไขที่สาม เราสามารถเขียนหมายเลข IPv6 ข้างต้นได้ดังนี้3fee:085b:1f1f::a9:1234::1fec0::200:3cff:fec6:172e2001::34fe:0:0:ff:321จะเห็นได้ว่าเราสามารถเขียนหมายเลข IPv6 ได้หลายวิธี โดยแต่ละวิธี มีความยาวแตกต่างกันไป ซึ่งบางครั้งหมายเลข IPv6 อาจมีหมายเลข IPv4 แทรกอยู่ ในกรณีนี้ เราสามารถเขียนในลักษณะที่คงสภาพหมายเลข IPv4 อยู่ได้ เช่น0:0:0:0:0:0:192.168.1.10:0:0:0:0:ffff:192.168.1.1สามารถเขียนย่อได้เป็น::192.168.1.1::ffff:192.168.1.1


สถานการณ์ในประเทศไทย


ในส่วนสถานการณ์ในประเทศไทย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) นับว่าเป็นผู้นำในการให้บริการเชื่อมต่อเครือข่าย IPv6 กับต่างประเทศผ่านการทำ IPv6-over-IPv4 tunnel และการทำ 6to4 relay นอกจากนี้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติยังได้รับความร่วมมือจากหลายมหาวิทยาลัยและบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดเครือข่าย IPv6 เพื่อการทดสอบภายในประเทศ (Thailand IPv6 Testbed) ซึ่งมีการเชื่อมต่อด้วยเทคนิคที่หลากหลาย  ขณะนี้มีบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที ่ได้ทำการเชื่อมต่อกับเครือข่าย IPv6 ทั้งในและนอกประเทศแล้ว
6 บริษัท คือ CAT, AsiaInfonet, CS-Loxinfo, JI-Net, Samart และ Internet Thailand
ในปัจจุบันได้มีการก่อตั้งคณะทำงานระดับประเทศขึ้นภายใต้ชื่อ Thailand IPv6 Forum หรือ โครงการความร่วมมือพัฒนาและส่งเสริมการใช้เครือข่าย IPv6 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิจัย ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่าย Hardware และ Software ระบบเครือข่าย ซึ่งกิจกรรมในปัจจุบันของ Thailand IPv6 Forum ได้แก่ การเข้ าร่วมเป็นสมาชิกของ Asia-Pacific IPv6 Task Force และการเชื่อมต่อแบบ Native IPv6 ภายในประเทศระหว่าง 3 องค์กรหลัก คือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  ซึ่งเหล่านี้นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวในการตอบรับการนำ IPv6 มาใช้ในประเทศไทย

อ้างอิงน่ะจ่ะ ^^





วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

สิ่งที่ที่รับจากการสัมนา โครงการ ผู้บริหารยุคใหม่ทันภัยกฎหมาย ไอที


โครงการ ผู้บริหารยุคใหม่ทันภัยกฎหมาย ไอที



จากการที่ได้เข้าสัมมนาก็ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับ กฎหมาย ไอที มากขึ้นว่า จากการใช้งานคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตนั้นมีกฎหมายที่บ่งบอกถึงความผิดทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายที่มีความผิดฐาน ลามกอนาจาน , การขโมยข้อมูล , การแฮกข้อมูล , การแทรกแซงข้อมูลเพื่อทำลาย เป็นต้น
และก็สามารถรู้ได้ว่า หากเกิดการธุจริตธุรกรรมทางการเงิน หรือเกิดการโกงสินค้าทางเว็ปไซต์ต่างๆ ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากสถานที่ใด และต้องทำแจ้งความ ณ ที่ใด จึงจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง
หากไม่ได้รับการสัมมนาในวันนี้ ผมก็คงไม่ได้รับความรู้ทางกฎหมาย ไอที ที่ดีขนาดนี้
ขอบคุณครับ ^^

NETWORK TOPOLOGY


NETWORK TOPOLOGY
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (NETWORK TOPOLOGY)

คือ การนำคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสารรูปแบบการจัดวางคอมพิวเตอร์ การเดินสายสัญญาญคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย รวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายสามารถทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งตามลักษณะของการเชื่อมต่อหลักได้ดังนี้




1. เครือข่ายแบบบัส (bus topology) 

เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาว ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีคอนเน็กเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิ้ล ในการส่งข้อมูล จะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการ ที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน เพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน วิธีการที่ใช้อาจแบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่ สัญญาณที่แตกต่างกัน การเซตอัปเครื่องเครือข่ายแบบบัสนี้ทำได้ไม่ยากเพราะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด ถูกเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิ้ลเพียงเส้นเดียวโดยส่วนใหญ่เครือข่ายแบบบัส มักจะใช้ในเครือข่ายขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ในองค์กรที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ไม่มากนัก
ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส คือ ใช้สื่อนำข้อมูลน้อย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบโดยรวม แต่มี
ข้อเสียคือ การตรวจจุดที่มีปัญหา กระทำได้ค่อนข้างยาก และถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากเกินไป จะมีการส่งข้อมูลชนกันมากจนเป็นปัญหา
ข้อจำกัด คือ จำเป็นต้องใช้วงจรสื่อสารและซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยเพื่อหลีกเลี่ยงการชนกันของสัญญาณข้อมูล และถ้ามีอุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย อาจส่งผลให้ทั้งระบบหยุดทำงานได้




2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน 

(ring topology)
เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วยสายเคเบิลยาวเส้นเดียว ในลักษณะวงแหวน การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวน จะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้น เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งข้อมูล มันก็จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไป ถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรงตามที่คอมพิวเตอร์เครื่องต้นทางระบุ มันก็จะส่งผ่านไปยัง คอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปซึ่งจะเป็นขั้นตอนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคอมพิวเตอร์ปลายทางที่ถูกระบุตามที่อยู่
ข้อดีของโครงสร้าง เครือข่ายแบบวงแหวนคือ ใช้สายเคเบิ้ลน้อย และถ้าตัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เสียออกจากระบบ ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบเครือข่ายนี้ และจะไม่มีการชนกันของข้อมูลที่แต่ละเครื่องส่ง
ข้อจำกัด ถ้าเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย อาจทำให้ทั้งระบบหยุดทำงานได้





3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว(Star Network) 

เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับอุปกรณ์ที่เป็น จุดศูนย์กลาง ของเครือข่าย โดยการนำสถานีต่าง ๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลางการติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ ด้วยการ ติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลางการทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงเป็นศูนย์กลางของการติดต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน ข้อดี คือ ถ้าต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในระบบ ส่วนข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สายเคเบิ้ลจะค่อนข้างสูง และเมื่อฮับไม่ทำงาน การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบก็จะหยุดตามไปด้วย ข้อจำกัด ถ้าฮับเสียหายจะทำให้ทั้งระบบต้องหยุดซะงัก และมีความสิ้นเปลืองสายสัญญาณมากกว่าแบบอื่นๆ





4. โครงสร้างเครือข่ายแบบผสม (Hybrid Topology) 
คือ เป็นเครือข่ายที่ผสมผสานกันทั้งแบบดาว,วงแหวน และบัส เช่น วิทยาเขตขนาดเล็กที่มีหลายอาคาร เครือข่ายของแต่ละอาคารอาจใช้แบบบัสเชื่อมต่อกับอาคารอื่นๆที่ใช้แบบดาว และแบบวงแหวน


อ้างอิงน่ะจ่ะ ^^


มาตรฐานของ Wireless LAN


Wireless LAN



ความเป็นมาของ Wireless LAN


ความต้องการใช้ระบบแลนไร้สายมีลักษณะเช่นเดียวกับระบบเซลลูลาร์โฟน หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่ระบบแลนไร้สายต้องการเซลขนาดเล็ก และเป็นเซลเฉพาะกิจ เป็นเซลส่วนตัวที่เชื่อมกับเครือข่ายได้ ดังนั้นจึงมีความพยายามที่พัฒนาเครือข่ายแลน แบบไร้สาย เพื่อให้รองรับความต้องการของผู้ใช้ กลุ่มผู้ใช้ที่มีความต้องการใช้แลนแบบ ไร้สายได้แก่ ร้านค้าปลีก ที่เก็บสินค้า โรงพยาบาล ธุรกิจขนส่ง มหาวิทยาลัย ตลอดจนองค์กรภาคธุรกิจต่างๆ ในปี ค.ศ. 1997 สถาบัน IEEE ได้กำหนดมาตรฐานแลนไร้สายแบบเดียวกับอีเทอร์เน็ต และเป็นชุดเดียวกับ 802 โดยให้ชื่อว่า IEEE 802.11 มาตรฐานที่เกิดขึ้นในปีนั้นยังมี ข้อจำกัดในทางเทคโนโลยี จึงกำหนดระบบการรับส่งสัญญาณด้วยขนาดความเร็ว 2 เมกะบิตต่อวินาที ระบบแลนไร้สาย IEEE 802.11 จึงเป็นที่รู้จักกันตั้งแต่นั้นมา
ในปี ค.ศ. 1999
IEEE ได้พัฒนามาตรฐานใหม่ของแลนระบบไร้สายและให้ชื่อ มาตรฐานที่ IEEE 802.11b โดยมีการพัฒนาให้ใช้ความเร็วในการรับส่งได้ถึง 11 เมกะบิตต่อวินาที และเป็นแบบฟูลดูเพล็กซ์คือ รับและส่งแยกกันด้วยความเร็ว 11 เมกะบิตต่อวินาที จากมาตรฐาน 802.11b ที่ประกาศออกไป ทำให้มีผู้ผลิตแลน ไร้สายออกมามาก โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายขนาดใหญ่ทุกบริษัทให้ ความสนใจและเร่งการพัฒนาปรับปรุงกันต่อไป การพัฒนาแลนไร้สาย มิได้หยุดอยู่ เพียงแค่การทำให้เชื่อมต่อถึงกันได้เท่านั้น ระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยของ สัญญาณข้อมูลที่แพร่กระจายในอากาศ มีการวางมาตรฐานทางด้านเอ็นคริปชั่น และการสร้างระบบดูแลรักษาความปลอดภัยการเข้าถึง มีการพัฒนาระบบการ เคลื่อนย้ายเข้าสู่เครือข่ายหนึ่งไปอีกเครือข่ายหนึ่ง หรือที่เรียกว่า โรมมิ่ง ( Roaming) มีการแบ่งโหลดระหว่างเซล โดยการตรวจสอบความแรงของสัญญาณเพื่อให้ขนาด ของพื้นที่ทับซ้อนกันได้


Wireless LAN คืออะไร
Mobile เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โทรศัพท์เคลื่อนที่เริ่มเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเพราะช่วยอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร เช่น ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับสามารถใช้โทรศัพท์มือถือโทรขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที นอกจากโทรศัพท์มือถือแล้วอุปกรณ์ Personal Information Management (PIM) เช่น เครื่อง Personal Digital Assistant (PDA) เริ่มมีผู้สนใจและใช้งานมากขึ้น เช่นใช้ในการรับส่ง E-mail การจัดตารางนัดหมาย หรือ การเก็บข้อมูลการเงินส่วนตัว ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook มีขนาดที่เล็กลง แต่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น เช่น เครื่อง Tablet PC ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์การติดต่อสื่อสารชนิด Wireless กับระบบเครื่อข่ายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่อง โดยผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ติดต่อสื่อสารเพิ่มเติม


แสดงรูป Tablet PC ซึ่งมีความสามารถเหมือน Notebook แต่มีน้ำหนักเบาและพกพาได้สะดวกกว่า
เมื่อกล่าวถึงคำว่า
Mobile แล้ว นิยมใช้กับคำว่า Wireless แต่ทั้งสองคำมีความแตกต่างกันคือ
-
Mobile หมายถึง ความสามารถในการเคลื่อนย้าย 
-
Mobile Device หมายถึง อุปกรณ์ขนาดเล็กที่สามารถพกพาได้ เช่นโทรศัพท์มือถือ เครื่อง PDA และ Notebook
- Wireless เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการส่งภาพ เสียง และข้อมูล จากอีกที่หนึ่งไปอีกทึ่หนึ่ง โดยไม่มีใช้สายไฟ แต่ใช้คลื่นวิทยุหรืออาจใช้คลื่น Infrared
เป็นตัวกลางในการสื่อสาร 
-
LAN มาจากคำว่า Local Area Network คือระบบเครือข่ายในระยะทางใกล้ๆ เช่น ภายในห้องทำงาน การเชื่อมต่อระหว่างห้องทำงาน ระหว่างชั้น หรือระหว่างตึก
ดังนั้น
Wireless LAN หมายถึง การติดต่อสื่อสารในระยะทางใกล้ๆ โดยไม่ใช้ สายไฟและอุปกรณ์สื่อสารคือ Mobile Device หรือ Notebook
สำหรับ Wireless ที่ใช้สัญญาณวิทยุ อุปกรณ์ที่เป็นเครื่องรับข้อมูลสามารถเคลื่อนย้ายไปมาได้อย่างอิสระภายใต้รัศมีความแรงของการใช้คลื่นวิทยุ คือ การรับส่งข้อมูลมีความผิดพลาดสูง เพราะคลื่นวิทยุถูกรบกวนได้ง่ายจากสัญญาณภายนอก เช่น การเปิดเครื่องเตาอบ Microwave อาจทำให้สัญญาณ Microwave เข้าไปรบกวนระบบ Wireless ได้ ทำให้การรับส่งข้อมูลผิดพลาด ส่วน Wireless ชนิดที่ใช้สัญญาณ Infrared ในการใช้งาน อุปกรณ์เครื่องรับและเครื่องส่งต้องติดตั้งไว้ในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เพราะ Infrared เป็นคลื่นแสง ไม่สามารถทะลุผ่านสิ่งของได้ การทำงานของ Wireless ชนิด Infrared คล้ายการใช้ Remote Control ในการเปลี่ยนช่องของโทรทัศน์ ข้อดีของการใช้คลื่น Infrared คือ ป้องกันการรบกวนจากสัญญาณภาพนอกได้ดี
Wireless ชนิดที่ใช้สัญญาณวิทยุเหมาะสำหรับใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่าง Mobile Device กับระบบเครือข่ายหลัก เช่น การใช้เครื่อง PDA ท่อง Web Site ภายในที่ทำงาน ผู้ใช้งานสามารถเดินไปห้องต่าง ๆ ในที่ทำงานพร้อมทั้งเรียกดูข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลา สำหรับ Wireless ชนิดที่ใช้ Infrared เหมาะสำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างเครือข่ายหลักที่ไม่สามารถเดินสายไฟได้ เช่น การเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างตึกซึ่งอยู่คนละฝั่งถนน
อุปกรณ์
Access Point ทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลกับ Mobile Devices แบบไร้สาย Mobile Devices สามารถเคลื่อนที่ภายใน Wireless Network ได้ ดังรูป


อุปกรณ์ Access Point
ส่วนอุปกรณ์ในระบบ Wired Network หรือที่ใช้สายไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และใช้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน แต่เมื่อใดที่ผู้ใช้งานไม่ได้อยู่ที่โต๊ะทำงาน และต้องการทำงานโดยไม่ขาดช่วง สามารถเปลี่ยนมาใช้ระบบ Wireless Network ได้โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook โดยทั่วไประบบที่ใช้ Wireless Network จำเป็นต้องมีการติดตั้งระบบ Wired Network ก่อนเพราะต้องใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารกับระบบอินเตอร์เน็ต


ทำไมต้องแลนไร้สาย
เนื่องด้วยในปัจจุบันนี้เป็นยุคของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
, แบ่งปัน( share) ข้อมูล , ทรัพยากรร่วมกัน โดยเฉพาะองค์กรด้านธุรกิจต่างๆ เมื่อใช้ wireless lan ผู้ใช้สามารถ access ข้อมูล ได้โดยไม่ต้องมองหา plug ต่อสาย lan และผู้มีหน้า ที่ดูแล network สามารถติดตั้ง หรือขยายการใช้งานโดยปราศจากการติดตั้งสาย หรือเคลื่อนย้ายไปตามจุดต่างๆ wireless LAN ทำให้เกิดความสะดวก แก่ผู้ใช้ , ลดค่าใช้จ่ายเรื่องสายได้ โดยเฉพาะระบบการเชื่อมโยงแบบต้องใช้สาย ซึ่งมีแลนแบบอีเทอร์เน็ตเป็นฐานใหญ่ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อด้วยสาย UTP ผ่าน HUB ทำให้เข้าสู่เครือข่ายด้วยความเร็วสูงถึง 100 เมกะบิตต่อวินาที อีกด้านหนึ่งคือการเชื่อมด้วยสายโทรศัพท์โดยเฉพาะการใช้โมเด็ม และ ADSL ที่เปิดบริการกันมากอยู่ในขณะนี้
จุดเด่นของระบบแลนไร้สาย มีหลายประการ โดยเฉพาะในอดีตปัญหาทางเทคโนโลยีเป็นข้อจำกัด เพราะไม่สามารถสร้างระบบ
VLSI ( วงจรรวมขนาดใหญ่มาก) ที่ใช้งานย่านความถี่สูงมาก กินกำลังไฟฟ้าต่ำ มีขนาดเล็กและเบา ปัจจุบันสามารถพัฒนาวงจร CMOS ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิพที่มีวงจรซับซ้อน ให้กินกำลังงานไฟฟ้าต่ำมาก และใช้กับความถี่สูงย่านไมโครเวปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ระบบแลนไร้สายจึงตอบสนองความต้องการเด่น ๆ ต่อไปนี้ได้
ความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
wireless lan ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ access ข้อมูลได้ทุกๆที่ ในองค์กร การเคลื่อนย้ายของผู้ใช้อาจไม่เฉพาะเจาะจงอยู่ในที่ทำงานอย่างเดียว อาจครอบคลุมเลยไปยังที่ต่าง ๆ เช่น การจัดประชุมสัมมนา การเดินทาง ไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยผู้ใช้ติดตั้งไปเฉพาะโน้ตบุคก็สามารถเข้าถึงเครือข่ายได้ - การติดตั้ง เร็ว และง่าย ไม่ต้องยุ่งยากกับการลากสาย cable ผ่านกำแพงฯลฯ
ความยืดหยุ่นของการติดตั้ง เทคโนโลยี
wireless allows the network to go where wire cannot go เครือข่ายแบบแลนไร้สาย ทำให้เครือข่ายองค์กรปรับขนาดและความเหมาะสม ได้ง่าย ไม่ยุ่งยากในเรื่องการเดินสายสื่อสาร ซึ่งมีปัญหาในเรื่องสถานที่ การปรับปรุงสถานที่เพื่อเดินสายสัญญาณเป็นเรื่องไม่พึงปรารถนา เครือข่ายไร้สายสามารถครอบคลุมพื้นที่เป็นเซลเล็กๆ โดยมีการเชื่อมโยงระหว่างอาคาร ได้ด้วยระบบแบบจุดไปจุด ทำให้ดำเนินการได้เร็วและสะดวกต่อการติดตั้ง



ลดต้นทุนขององค์กร ในระยะแรกของการลงทุนติดตั้ง
wireless มี cost ค่อนข้างสูงกว่า wired LAN แต่ค่าใช้จ่ายโดยรวมแล้ว (รวมค่าติดตั้ง และค่าเช่าสาย) wireless จะต่ำกว่า อย่างเห็นได้ชัด ยิ่งถ้าคิดในระยะยาวแล้วต่ำกว่ามาก
Scalability wireless lan สามารถที่จะถูก config ได้หลาย topology เพื่อให้บรรลุตาม ความต้องการ การ config นั้นง่ายมากตั้งแต่แบบ peer to peer สำหรับผู้ใช้จำนวนไม่มาก ไปจนถึง เต็มที่ของ infrastructure ที่มีผู้ใช้จำนวนมาก นอกจากนี้จุดเด่นของระบบแลนไร้สายยังอยู่ที่การมีมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่ว หมายถึงสามารถใช้งานร่วมกันได้ และเป็นมาตรฐานกลางที่กำหนดโดย IEEE มีการวางรูปแบบให้รับส่งกันได้อย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการรักษาความปลอดภัยของคลื่นสัญญาณที่อาจถูกดักฟังได้ กรณีนี้ก็มีวิธีการเข้ารหัส การสร้างระบบเอ็นคริป ข้อมูลการให้บริการการใช้งาน และการดูแลรักษาเครือข่ายทำได้ง่ายกว่าแบบใช้สายมาก ทั้งนี้เพราะระบบได้รับการออกแบบมาให้เป็นแบบอัตโนมัติ และตรวจสอบกันเองระบบแลนไร้สายจึงมีจุดเด่นที่ชัดเจน และจะมีบทบาทที่สำคัญของเครือข่ายในอนาคตอันใกล้นี้

ระบบแลนไร้สายที่เชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่าย
มาตรฐาน
IEEE, อุปกรณ์
มาตรฐานเทคโนโลยีไร้สายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีมากมายหลายมาตรฐานเช่น
Bluetooth,IEEE 802.11,IrDA, HiperLAN, HomeRF ซึ่งออกแบบมาสำหรับการใช้งานแบบต่างๆ แต่มาตรฐานสำหรับเทคโนโลยีไร้สาย ที่เป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางคือ IEEE 802.11 หรือนิยมเรียกว่า WiFi ( ย่อมาจากคำว่า Wireless Fidelity)


เทคโนโลยีไร้สาย : IEEE 802.11b IEEE 802.11b เป็นมาตรฐานล่าสุดสำหรับ Wireless LAN ที่ใช้ Protocol เหมือน Ethernet โดยต่อเติมมาจากมาตรฐาน 802.11 เดิมที่มีความเร็วแค่ 1,2 mbps เท่านั้น จึงไม่เป็นที่ยอมรับนัก ข้อดีของเทคโนโลยี 802.11b นี้นอกจากความเร็วที่สูงถึง 11 Mbps รับ-ส่งข้อมูลแบบ Full Duplex แล้วยังสามารถลดความเร็วลงโดยอัตโนมัติเป็น 1,2,5.5 Mbps เมื่ออยู่ไกลหรือมีคลื่นรบกวนมาก เครือข่ายที่ใช้มาตรฐาน IEEE 802.11b นั้นจะประกอบ ด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Access Point ที่ทำหน้าที่เป็น hub แบบไร้สาย ซึ่งจะสื่อสารกับ network interface card ในเครื่อง PC หรือ Notebook ในสภาพแวดล้อมของสถานที่ ทำงานทั่วไป ตัว Network card และ Access Point จะติดต่อกันได้ภายใน ระยะประมาณ 91 เมตร


อุปกรณ์ WLAN ตามมาตรฐาน IEEE 802.11 มีให้เลือกใช้ 3 ประเภทคือ 
1. คลื่นวิทยุที่ความถี่สาธารณะ 2.4
GHz
( อัตราการรับส่งข้อมูลสูงสุด 11 Mbps)
2. คลื่นวิทยุที่ความถี่สาธารณะ 5 GHz
( อัตราการรับส่งข้อมูลสูงสุด 54 Mbps)
3. อินฟราเรด Infrared
( อัตราการรับส่งข้อมูล 1 และ 2 Mbps)


Wireless Adapter
โดยมาตรฐาน IEEE 802.11 นั้น ยังมีมาตรฐานระบุรายละเอียดย่อยอีกโดยใช้ตัวอักษรต่อท้ายเช่น IEEE 802.11a, IEEE 802.11b, และ IEEE 802.11g ซึ่งจะมีลักษณะต่าง ๆ ดังตัวอย่างตามตาราง
802.11
 
802.11
a
802.11g
อัตราการรับส่งข้อมูลสูงสุด 
11
Mbps
54 Mbps
54 Mbps
เทคโนโลยีการเข้ารหัส 
CCK Complimentary Code Keying
OFDM Orthogonal Frequency Division Multiplexing
CCK & OFDM
ความถี่ 
2.4
GHz
5 GHz
2.4 GHz = 11 Mbps
5 GHz = 54 Mbps





รองรับการรักษาความปลอดภัยหลายระดับ
- ควบคุมการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย โดยการตั้งค่า
NIC Card ของเครื่อง Client กับ Access Point ให้มีค่าตรงกันจึงจะสามารถ ติดต่อกันได้ ถือเป็นการกำหนดพื้นที่ให้บริการของ Wireless Lan (Wireless Lan Service Area: WLS) นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยในอีกระดับหนึ่ง คือการบันทึก MAC address ของแต่ละ NIC Card ที่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับ Access point นั้นๆ ได้ไว้ในตัว Access Point เองเพียงเท่านี้บุคคลภายนอกก็จะไม่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายได้
- การเข้ารหัสเพื่อป้องกันการดักสัญญาณระหว่าง
NIC Card กับ Access Point สามารถรองรับการเข้ารหัสสัญญาณเพื่อป้องกันการ ดักสัญญาณที่กระจายออกไปได้ โดยมีทั้งการเข้ารหัสสัญญาณแบบ 40 บิต และ 128 บิต แบบ Wired Equivalent Privacy (WEP) ซึ่งเป็นมาตรฐานโปรโตคอลความปลอดภัยสำหรับ อุปกรณ์ Wireless

อุปกรณ์สำหรับ Wireless Lan
1. Access Point ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง Ethernet ของ net work แบบมีสายกับเครื่อง client ที่เชื่อมต่อแบบไร้สาย (อาจเรียกเป็น hub ไร้สาย)
- รับ-ส่ง ข้อมูลสำหรับผู้ใช้สูงสุด 60 เครื่องพร้อมๆกัน ภายในรัศมี 91
m หรือ 300 ฟุต 
- ทำงานในย่านความถี่ 2.4
GHz ;bandwith 11 Mbps โดยแบ่งเป็น 11 ช่องสัญญาณ 
- เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย
Ethernet และต่อไฟเข้า Access Point โดยตรง



2. Wireless LAN card

การขยายเครือข่ายเป็นไปได้ง่าย เครือข่ายแบบแลนไร้สายทำให้เครือข่ายองค์กรปรับขนาดและความเหมาะสมได้ง่ายไม่ยุ่งยากในเรื่องการเดินสายสื่อสาร ซึ่งมีปัญหาในเรื่องสถานที่ การปรับปรุงสถานที่เพื่อเดินสายสัญญาณเป็นเรื่องที่ไม่ถึงปรารถนาเครือข่ายไร้สายสามารถครอบคลุมพื้นที่เป็นเซลเล็กๆ โดยมีการเชื่อมโยงระหว่างอาคารได้ด้วยระบบแบบจุดไปจุดทำให้ดำเนินการได้เร็วและสะดวกต่อการติดตั้ง


การเชื่อมโยงระหว่างอาคารด้วยระบบไร้สาย
ให้ผลคุ้มค่าการออกแบบสร้างเครือข่ายแลนแบบไร้สายเริ่มให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนคุ้มค่ามากขึ้นทั้งนี้เพราะอุปกรณ์เชื่อมโยงระบบแลนไร้สายมีแนวโน้มที่ถูกลง จึงสามารถชดเชยกับสิ่งที่เรียกว่าการลงทุนการเดินสายสัญญาณและความคล่องตัวในการออกแบบ ปัจจุบันมูลค่าของการ์ดแลนมีราคาขายในท้องตลาดทั่วไปประมาณ 200 เหรียญสหรัฐ แนวโน้มนี้ยังคงมีราคาลดลงอีก สำหรับอุปกรณ์ที่เป็น Accesspoint ก็มีแนวโน้มที่ลดลงเช่นกัน ระบบแลนไร้สายแบบจุดไปจุดสามารถเชื่อมต่อได้ด้วยระยะทางไกลถึง 25 ไมล์ ซึ่งทำให้ประหยัดในเรื่องค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ลงไปได้มาก

นอกจากนี้ จุดเด่นของระบบแลนไร้สายยังอยู่ที่การมีมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่ว หมายถึง สามารถใช้งานร่วมกันได้ และเป็นมาตรฐานกลางที่กำหนดโดย IEEE มีการวางรูปแบบให้รับส่งกันได้อย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการรักษาความปลอดภัยของคลื่นสัญญาณที่อาจถูกดักฟังได้ กรณีนี้ก็มีวิธีการเข้ารหัส การสร้างระบบเอ็นคริปข้อมูล การให้บริการการใช้งาน และการดูแลรักษาเครือข่ายทำได้ง่ายกว่าแบบใช้สายมาก ทั้งนี้เพราะระบบได้รับการออกแบบมาให้เป็นแบบอัตโนมัติ และตรวจสอบกันเอง ระบบแลนไร้สายจึงมีจุดเด่นทีชัดเจน และจะมีบทบาทที่สำคัญของเครือข่ายในอนาคตอันใกล้นี้

ประโยชน์ที่ได้รับเมื่อเริ่มใช้ WLAN

-Fast Decision-Making เมื่อพนักงานหรือผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพขึ้น
 -Sale-Force Efficiency พนักงานขายสามารถเข้าถึงข้อมูลของสินค้าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตามในบริษัท ทำให้ลูกที่มาติดต่อเกิดความพอใจในการบริการ
- Better Accuracy การติดต่อสื่อสารอย่างทันท่วงทีกับทีมงานโดยผ่าย Mobile Device ทำให้ Manager สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
- Higher Employee Satisfaction พนักงานเกิดความพอใจในการทำงานมากขึ้น เพราะสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ในระบบอินเตอร์เน็ต รับส่ง Email หรือติดต่อสื่อสารกับเพื่อนรวมงานได้ตลอดเวลาทำให้ประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะทุกที่ในบริษัทสามารถเป็นห้องทำงานได้ตลอดเวลา
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบเครือข่ายในระยะยาว ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ Wireless Network น้อยกว่าระบบ Wired Network ซึ่งในระบบ Wired Network ต้องเดินสายไฟไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ส่วนในระบบ Wireless Network มีการเดินสายไฟเฉพาะจุดที่เป็น Access Point เท่านั้นทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟน้อยกว่า
 ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบ เพราะอุปกรณ์ Wireless ไม่ต้องใช้สาย จึงทำให้ลดความซับซ้อนในการดูแลระบบเพราะการเพิ่มหรือลดอุปกรณ์สามารถทำได้ทันที



อ้างอิงน่ะจ่ะ^^

http://center.finansalife.com/qagt/wirelesslan.htm








วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ระบบปฏิบัติการ Windows 7




เทคนิคการ้ปลี่ยน ICON FOLDER 


เทคนิคการเปลี่ยน ICON FOLDERเพื่อสร้างสีสรรค์ให้กับหน้าจอคอมของท่าน

''ขั้นตอนการเปลี่ยน ICON FOLDER''
                   1. สร้างโฟลเดอร์ขึ้นมาแล้วคลิกขวาเลือก Properties


   
     2. แล้วคลิกที่ Customize




3. แล้วเลือกคลิกที่ Change Icon


4. แล้วเลือก Icon รูปแบบตามที่ต้องการ


5. หลังจากได้รูปตามต้องการแล้วก็คลิก Apply


6. ก็จะได้ ICON ตามที่เราต้องการ



** ขอเสร็จสิ้นการนำเสนอเพียงเท่านี้**